หลังพิธีไว้อาลัยของพ่อที่ครอบครัวเราจัดขึ้นที่ริมแม่น้ำ เราแต่ละคนเก็บหินไว้คนละก้อนเพื่อระลึกถึงท่าน ชีวิตของท่านเหมือนกับเกมกระดานหมากรุกที่มีทั้งแพ้และชนะ แต่เรารู้ว่าหัวใจท่านมีแต่พวกเรา นิ้วของฉันลูบไล้ไปบนผิวเรียบๆของก้อนหินซึ่งช่วยฉันให้ระลึกถึงท่านเสมอ
ในลูกาบทที่ 19 พระเยซูเสด็จเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิต ขณะที่ฝูงชนโบกทางอินทผลัมพร้อมกับตะโกนร้องโฮซันนาและแซ่ซ้องว่า “ขอให้พระมหากษัตริย์ ผู้ที่เสด็จมาในพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าทรงพระเจริญ” (ข้อ 38; ดู ยน.12:12-13) พวกฟาริสีไม่พอใจเพราะคิดว่าการกล่าวอ้างว่าเป็นพระเมสสิยาห์ถือเป็นการดูหมิ่นพระเจ้าจึงบอกพระเยซูให้สั่งเหล่าสาวกหยุดโห่ร้อง พระเยซูตรัสตอบเขาว่า “ถึงคนเหล่านี้จะนิ่งเสีย ศิลาทั้งหลายก็ยังจะส่งเสียงร้อง” (ลก.19:40)
ก้อนหินส่งเสียงร้องในหลายรูปแบบ พระเจ้าทรงใช้ก้อนหินในการบอกถึงเรื่องราวแห่งความรักของพระองค์ที่ทรงมีต่อเรา หินสกัดสองก้อนที่แกะสลักบัญญัติสิบประการเพื่อสอนเราในการดำเนินชีวิต (อพย.34:1) หินแห่งความทรงจำที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำจอร์แดนเพื่อเตือนชนอิสราเอลทุกรุ่นให้ระลึกถึงการจัดเตรียมและความสัตย์ซื่อของพระเจ้า (ยชว.4:8-9) หินก้อนหนึ่งที่กลิ้งปิดปากอุโมงค์เก็บพระศพของพระเยซู เป็นก้อนเดียวกับที่กลิ้งออกเพื่อแสดงว่าพระองค์ทรงฟื้นคืนพระชนม์ (มธ.27:59-66; ลก. 24:2) เรา “ได้ยิน” หินก้อนนี้ที่เตือนเราถึงคำตรัสของพระเยซูว่า “เราเป็นเหตุให้คนทั้งปวงเป็นขึ้นและมีชีวิต” (ยน.11:25)
จงฟังเสียงร้องของก้อนหินและเปล่งเสียงร่วมกับหินนั้นเพื่อสรรเสริญพระบิดาผู้ทรงเปี่ยมด้วยความรักของเรา
กลางดึกคืนวันหนึ่ง ที่เขตอนุรักษ์ช้างของประเทศเคนย่าได้รับแจ้งว่ามีลูกช้างตกลงไปในบ่อน้ำ หน่วยกู้ภัยไปพบกับเสียงร้องอันเจ็บปวดดังก้องในความมืด และพบว่างวงของลูกช้างสองในสามส่วนถูกพวกไฮยีน่ารุมกัดหายไป เมื่อพาลูกช้างมาถึงศูนย์พักพิง พวกเขาตั้งชื่อมันว่าลองอูโร ซึ่งแปลว่า “บางสิ่งถูกตัดออก” แม้ว่าจะเหลืองวงเพียงหนึ่งในสามส่วน ลองอูโรก็หายดีและได้รับการยอมรับจากช้างตัวอื่นให้เข้าฝูงในเขตอนุรักษ์ ช้างรู้โดยสัญชาตญาณว่าพวกมันต้องการกันและกัน ดังนั้นพวกมันจึงช่วยเหลือกัน
ในพระธรรม 1 โครินธ์ 12 อัครทูตเปาโลเน้นย้ำถึงความจำเป็นที่เราต้องช่วยเหลือกันและกันในพระกายของพระคริสต์ ท่านได้ใช้ร่างกายมนุษย์และอวัยวะต่างๆเป็นคำอุปมาเพื่ออธิบายถึงพระประสงค์ของพระเจ้าที่ให้ประชากรของพระองค์ยอมรับของประทานทุกอย่างที่มีในแต่ละคน เพราะทั้งหมดล้วนจำเป็นที่จะทำให้พระกายของพระองค์ทำงานได้ดี (ข้อ 12-26) จากนั้นเปาโลอธิบายถึงการทำให้ความหลากหลายนั้นเป็นหนึ่งเดียวกัน “พระเจ้าได้ทรงให้อวัยวะของร่างกายเสมอภาคกัน” ท่านเขียน “ทรงให้อวัยวะที่ต่ำต้อยเป็นที่นับถือมากขึ้น เพื่อไม่ให้มีการแก่งแย่งกันในร่างกาย แต่ให้อวัยวะทุกส่วนพะวงซึ่งกันและกัน” (ข้อ 24-25)
ไม่ว่าจะอ่อนแอหรือเข้มแข็ง สวยหรูหรือดูธรรมดา ขอให้เราช่วยเหลือกันและกัน มนุษย์ก็เป็นเช่นเดียวกับฝูงช้างที่ต้องการกันและกัน
เดวิด เวตเตอร์เสียชีวิตเมื่ออายุสิบสองปีหลังจากใช้เวลาทั้งชีวิตอยู่ในบ้านลมเดวิดได้รับฉายาว่า “เดอะบับเบิ้ลบอย” เพราะเกิดมาพร้อมกับภาวะภูมิคุ้มกันบกพร่องขั้นรุนแรง พ่อแม่ของเขาสูญเสียลูกชายคนแรกไปด้วยโรคนี้ และมุ่งมั่นที่จะปกป้องลูกคนที่สองของพวกเขา ในการช่วยยืดอายุของเดวิด วิศวกรของนาซ่าได้ออกแบบพลาสติกเป่าลมสำหรับป้องกันให้เดวิดอยู่และชุดอวกาศเพื่อให้พ่อแม่สามารถอุ้มเขาในโลกภายนอกได้ เราทุกคนต่างปรารถนาที่จะปกป้องคนที่เรารักจริงๆ!
นาบาลสามีผู้โง่เขลาของอาบีกายิลทำผิดต่อกษัตริย์ดาวิด ด้วยความโกรธ ดาวิดต้องการไปแก้แค้นด้วยมือของพระองค์เอง อาบีกายิลรุดไปพบพระองค์พร้อมกับคำเตือนที่ชาญฉลาดว่า “แม้มีคนลุกขึ้นไล่ตามท่านและแสวงชีวิตของท่าน ชีวิตของเจ้านายของดิฉันจะผูกมัดอยู่กับกลุ่มชีวิตซึ่งอยู่ในความพิทักษ์ของพระเยโฮวาห์พระเจ้าของท่าน” (1 ซมอ.25:29) คำว่า “ผูกมัด” สื่อถึงการรวบรวมสิ่งของมีค่าเพื่อที่เจ้าของจะสามารถโอบอุ้มนำไปได้ อาบีกายิลเตือนว่าพระเจ้าทรงต้องการอุ้มดาวิดไว้ในกลุ่มที่ได้รับการปกป้อง พระองค์ปลอดภัยที่สุดในพระหัตถ์ของพระเจ้า ไม่ใช่ในมือของพระองค์เอง “เจ้านายของดิฉันจะไม่มีเหตุที่ต้องเศร้าใจหรือระกำใจ เพราะได้กระทำให้โลหิตเขาตกด้วยไม่มีสาเหตุหรือเพราะเจ้านายของดิฉันทำการแก้แค้นเสียเอง” (ข้อ 31)
เป็นเรื่องดีที่เราจะปกป้องผู้อื่นในเวลาที่จำเป็น แต่โดยการดูแลที่สมบูรณ์แบบของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้พวกเขาปลอดภัยอย่างแท้จริง
ในงานแต่งงานของเรา เดฟเพื่อนที่ขี้อายยืนอยู่ตรงมุมห้องโดยถือสิ่งของทรงสี่เหลี่ยมที่ห่อด้วยกระดาษบางๆเอาไว้ เมื่อถึงเวลาที่จะมอบของขวัญเขาจึงนำมันออกมา ฉันกับอีวานแกะห่อออกแล้วพบงานไม้แกะสลักรูปทรงสี่เหลี่ยมผืนผ้าที่มีแผ่นลายไม้ทรงกลมอยู่ตรงกลางอย่างสมบูรณ์แบบ และมีประโยคที่สลักไว้ว่า “การอัศจรรย์ที่พระเจ้าทำนั้น บางอย่างก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ” แผ่นป้ายนั้นแขวนอยู่ในบ้านของเราเป็นเวลาสี่สิบห้าปีแล้ว เตือนเราครั้งแล้วครั้งเล่าว่าพระเจ้าทรงกระทำกิจแม้ในเรื่องเล็กๆน้อยๆ ทั้งการจ่ายบิล การจัดหาอาหาร การรักษาโรคหวัด ล้วนเป็นบันทึกอันน่าประทับใจถึงการจัดเตรียมของพระเจ้าที่เพิ่มจำนวนมากขึ้น
เศรุบบาเบลผู้ว่าราชการของยูดาห์ได้รับถ้อยคำที่คล้ายกันจากพระเจ้าผ่านทางผู้พยากรณ์เศคาริยาห์ เกี่ยวกับการบูรณะกรุงเยรูซาเล็มและพระวิหารขึ้นใหม่ หลังกลับจากการเป็นเชลยของบาบิโลน ช่วงเวลาของกระบวนการจึงเริ่มขึ้นอย่างช้าๆ และคนอิสราเอลรู้สึกท้อแท้มากขึ้น “ใครบังอาจดูถูกสิ่งเล็กน้อยที่เกิดขึ้นในวันนี้” พระเจ้าประกาศ (ศคย.4:10 TNCV) พระองค์ทรงทำให้ความปรารถนาของพระองค์สำเร็จผ่านทางเราและบางครั้งโดยที่ไม่มีเรา “‘มิใช่ด้วยกำลัง มิใช่ด้วยฤทธานุภาพ แต่ด้วยวิญญาณของเรา’ พระเจ้าจอมโยธาตรัสดังนี้แหละ” (ข้อ 6)
เมื่อเรารู้สึกเหนื่อยล้ากับงานของพระเจ้าที่ดูเหมือนเล็กน้อยซึ่งทรงกระทำภายในเราและรอบๆตัวเรา ขอให้เราจดจำไว้ว่าการอัศจรรย์บางอย่างของพระองค์อาจ “เล็กน้อย” แต่พระองค์ทรงใช้สิ่งเล็กน้อย เพื่อก่อให้เกิดพระประสงค์ที่ยิ่งใหญ่กว่าของพระองค์
เมื่อกวาดสายตาอ่านข้อความที่อยู่บนพรมเช็ดเท้าซึ่งวางอยู่ในร้านค้าปลีกแถวบ้าน ฉันสังเกตเห็นคำต่างๆที่อยู่บนพรม เช่น “สวัสดี!” “บ้าน” ที่ใช้รูปหัวใจแทนพยัญชนะตัวหนึ่ง แล้วฉันก็เลือกพรมที่มีข้อความชินตาว่า “ยินดีต้อนรับ” เมื่อนำมาวางที่บ้าน ฉันก็สำรวจหัวใจตัวเองว่าบ้านของฉันให้การต้อนรับในแบบที่พระเจ้าปรารถนาให้เป็นจริงๆไหม คือ ต้อนรับเด็กที่ขายช็อกโกแลตเพื่อโครงการโรงเรียน ต้อนรับเพื่อนบ้านที่ต้องการความช่วยเหลือ หรือคนในครอบครัวที่มาจากนอกเมืองโดยไม่บอกล่วงหน้า
ในมาระโกบทที่ 9 พระเยซูเสด็จลงจากภูเขาที่ทรงจำแลงพระกาย ที่ซึ่งทำให้เปโตร ยากอบและยอห์นยำเกรงในการทรงสถิตขององค์บริสุทธิ์ (ข้อ 1-13) และมารักษาเด็กที่ถูกผีเข้ากับบิดาที่หมดหวัง (ข้อ 14-29) จากนั้นทรงสอนบทเรียนแก่สาวกเป็นการส่วนตัวในเรื่องการสิ้นพระชนม์ (ข้อ 30-32) แต่พวกเขาพลาดประเด็นของพระองค์อย่างร้ายแรง (ข้อ 33-34) พระเยซูจึงทรงอุ้มเด็กคนหนึ่งไว้บนตักแล้วตรัสว่า “ถ้าผู้ใดจะรับเด็กเล็กๆ เช่นนี้คนหนึ่งในนามของเรา ผู้นั้นก็รับเรา และผู้ใดได้รับเรา ผู้นั้นก็รับมิใช่แต่เราผู้เดียว แต่รับพระองค์ผู้ทรงใช้เรามาด้วย” (ข้อ 37) คำว่า รับ ในที่นี้หมายถึงการต้อนรับและยอมรับในฐานะแขกคนหนึ่ง พระเยซูต้องการให้สาวกต้อนรับทุกคน แม้แต่คนที่ดูต่ำต้อยและแม้ในเวลาที่เราไม่สะดวก ให้เหมือนกับว่าเรากำลังต้อนรับพระองค์
ฉันคิดถึงพรมที่มีข้อความว่ายินดีต้อนรับของฉัน และสงสัยว่าฉันจะหยิบยื่นความรักของพระองค์ไปถึงผู้อื่นอย่างไร ก็โดยเริ่มต้นด้วยการต้อนรับพระเยซูในฐานะแขกผู้ล้ำค่า แล้วฉันจะยอมให้พระองค์ทรงนำฉัน ในการต้อนรับผู้อื่นตามที่พระองค์ทรงปรารถนาหรือไม่
แอนดรูว์ การ์ดเป็นหัวหน้าเจ้าหน้าที่ทำเนียบขาวของประธานาธิบดีจอร์จ ดับเบิลยู บุชแห่งสหรัฐอเมริกา ในการให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับบทบาทของเขานั้น เขาอธิบายว่า “ในห้องทำงานของเจ้าหน้าที่แต่ละคนจะแขวนป้ายข้อความที่แสดงถึงเป้าหมายว่า ‘เรารับใช้ตามความพอใจของประธานาธิบดี’ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเรามีหน้าที่เอาใจประธานาธิบดี หรือทำให้เขาหรือเธอมีความสุข แต่หน้าที่ของเราคือบอกถึงสิ่งที่ประธานาธิบดีจำเป็นต้องรู้เพื่อจะทำงานของตัวเอง” และงานที่ว่าก็คือการปกครองประเทศสหรัฐอเมริกา
ในบทบาทและความสัมพันธ์มากมายที่เรามี เรามักจะพยายามทำให้ทุกคนพอใจ แทนที่จะเสริมสร้างกันขึ้นให้เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน ตามที่อัครทูตเปาโลมักจะเตือนเราในเอเฟซัสบทที่ 4 ว่า “ของประทานของพระองค์ ก็คือให้บางคนเป็นอัครทูต บางคนเป็นผู้เผยพระวจนะ บางคนเป็นผู้เผยแพร่ข่าวประเสริฐ บางคนเป็นศิษยาภิบาลและอาจารย์ เพื่อเตรียมธรรมิกชนให้เป็นคนที่จะรับใช้ เพื่อเสริมสร้างพระกายของพระคริสต์ให้จำเริญขึ้น จนกว่าเราทุกคนจะบรรลุถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในความเชื่อ” (ข้อ 11-13) ในข้อ 15-16 เปาโลสรุปถึงแนวโน้มของการที่เรามักจะทำให้ทุกคนพอใจ โดยย้ำว่าเราต้องใช้ของประทานควบคู่ไปกับการ “พูดความจริงด้วยใจรัก” เพื่อที่ “ร่างกายทั้งสิ้น[จะ]...จำเริญเติบโตขึ้นด้วยความรัก”
ในฐานะผู้เชื่อในพระเยซู เราจะรับใช้ผู้คนเพื่อเสริมสร้างพวกเขาและเพื่อให้บรรลุตามพระประสงค์ของพระเจ้า ไม่ว่าเราจะทำให้คนอื่นพอใจหรือไม่ก็ตาม แต่เราจะทำให้พระเจ้าพอพระทัยในขณะที่พระองค์ทรงทำงานผ่านเรา เพื่อสร้างความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันในคริสตจักรของพระองค์
เมื่อตอนยังเด็ก ลูกสาวของฉันชอบเอาเนยแข็งสวิสที่มีรูพรุนมาเล่นขณะกินมื้อกลางวัน เธอจะเอาแผ่นเนยสีเหลืองอ่อนวางบนหน้าเหมือนเป็นหน้ากากและพูดว่า “ดูนี่สิคะแม่” ประกายตาสีเขียวของเธอลอดผ่านรูบนแผ่นเนยแข็ง ในฐานะคุณแม่วัยสาว หน้ากากเนยแข็งนั้นอธิบายสิ่งที่ฉันรู้สึกเกี่ยวกับความพยายามของตัวเองที่แม้จะทุ่มเทให้ลูกและเปี่ยมไปด้วยความรัก แต่ความพยายามนั้นก็ไม่บริสุทธิ์สมบูรณ์ ยังมีแต่รูที่เป็นตำหนิ
เราต่างปรารถนาที่จะมีชีวิตที่บริสุทธิ์ เป็นชีวิตที่แยกไว้สำหรับพระเจ้าและมีคุณลักษณะที่เป็นเหมือนพระเยซู แต่เมื่อเวลาผ่านไปวันแล้ววันเล่า ความบริสุทธิ์ก็ดูเหมือนอยู่ไกลเกินเอื้อม เหลือไว้แต่ “รูตำหนิของเรา”
ใน 2 ทิโมธี 1:6-7 เปาโลเขียนถึงบุตรที่รักของท่านคือทิโมธี โดยเตือนให้เขาดำเนินชีวิตให้สมกับการทรงเรียกอันบริสุทธิ์ แล้วเปาโลยังอธิบายว่า “[พระเจ้า] ผู้ทรงช่วยเราให้รอด และทรงเรียกเรามาสู่ชีวิตอันบริสุทธิ์ ไม่ใช่เพราะการกระทำใดๆของเรา แต่เพราะพระประสงค์และพระคุณของพระองค์เอง” (ข้อ 9 TNCV) ชีวิตเช่นนี้เป็นไปได้ไม่ใช่เพราะลักษณะนิสัยของเรา แต่เป็นเพราะพระคุณของพระเจ้า เปาโลกล่าวต่อว่า “พระคุณนี้ได้ประทานแก่เราในพระเยซูคริสต์ตั้งแต่ก่อนจุดเริ่มต้นของเวลา” (ข้อ 9 TNCV) แล้วเราจะยอมรับพระคุณของพระองค์และดำเนินชีวิตโดยฤทธิ์อำนาจแห่งพระคุณที่ทรงประทานให้เราได้หรือไม่
ไม่ว่าในการเลี้ยงดูลูก ในชีวิตสมรส การทำงาน หรือการรักเพื่อนบ้าน พระเจ้าทรงเรียกเราให้มีชีวิตที่บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นไปได้ไม่ใช่โดยความพยายามของเราที่จะเป็นคนดีพร้อม แต่โดยพระคุณของพระเจ้า
ค้นหาความหวังและพระคุณ
โฮเรชิโอ สแปฟฟอร์ดสูญเสียทั้งลูกชายวัย 4 ขวบและธุรกิจของเขาภายในปีเดียว ในอีกสองสามปีต่อมา เขาวางแผนเข้าร่วมงานประกาศในลอนดอน จึงได้จัดการให้ภรรยาและลูกสาวทั้ง 4 คนลงเรือโดยสารล่วงหน้าไปก่อน และในขณะที่เขาสะสางงานเพื่อเดินทางตามไป ได้เกิดอุบัติเหตุเรือชนกันขึ้น ส่งผลให้ลูกสาวทั้ง 4 จมน้ำเสียชีวิต เหลือเพียงภรรยาที่รอดชีวิต เมื่อเขาเดินทางข้ามมหาสมุทรแอตแลนติก ขณะที่ผ่านบริเวณที่ลูกสาวเสียชีวิต โฮเรชิโอได้เขียนบทเพลงชีวิตคริสเตียนที่เป็นอมตะชื่อว่า “จิตใจข้าสุขสบาย”
เขาเขียนบทเพลงเช่นนี้ได้อย่างไร? เนื้อเพลงเผยให้เห็นว่า โฮเรชิโอเรียนรู้ที่จะพึ่งพาในความหวังที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเขา นั่นคือความสัมพันธ์กับพระเยซูคริสต์ และได้ค้นพบสันติสุขในจิตวิญญาณท่ามกลางความโศกเศร้ามากมาย
เขาสามารถมีสันติสุขแม้ขณะที่ยังคงมีความเศร้า ความโดดเดี่ยว ความอ่อนล้า และแม้กระทั่งความโกรธ เราทำอย่างไรบ้างเมื่อเกิดความรู้สึกเหล่านี้?
อารมณ์และความเชื่อ
พระคัมภีร์เต็มไปด้วยความรู้สึก ฮันนา “เป็นทุกข์ร้อนใจมากอธิษฐานต่อพระเจ้าและร้องไห้คร่ำครวญ” (1 ซามูเอล 1:10) ดาวิดเปิดใจต่อพระเจ้าแบบไม่ปิดบังในสดุดีบทแล้วบทเล่า (สดุดี 22:14-15) เอลียาห์สัมผัสกับหลุมลึกแห่งความซึมเศร้าหดหู่ (1 พงศ์กษัตริย์ 19) เยเรมีย์ร้องไห้คร่ำครวญต่อพระพักตร์พระเจ้า (เยเรมีย์ 8:20-9:1)
การแสดงอารมณ์ที่ชัดเจนไม่ว่าจะเป็นความเศร้า ความโกรธ ความสับสน หรือความอิจฉาต่อพระเจ้าเป็นเรื่องที่ทำได้หรือไม่?
แน่นอน เราทำเช่นนั้นได้!
ในสวนเกทเสมนี ในคืนก่อนที่พระเยซูถูกตรึง พระองค์กล้าที่จะเปิดเผยความรู้สึกของพระองค์ต่อพระบิดา มัทธิว 26:37-38 บอกเราว่าพระองค์ “ทรงโศกเศร้าและหนักพระทัยนัก……
น้องสาว น้องชายและตัวฉันต่างบินจากรัฐที่แต่ละคนอาศัยอยู่เพื่อไปร่วมงานศพของคุณลุง และแวะเยี่ยมคุณย่าวัยเก้าสิบปีของพวกเรา ท่านเป็นอัมพาตเนื่องจากโรคหลอดเลือดสมอง สูญเสียความสามารถในการพูด และใช้มือขวาได้เพียงข้างเดียว ขณะที่เรายืนอยู่รอบเตียงของท่าน ท่านเอื้อมมือข้างนั้นมาจับมือเราแต่ละคนไปวางซ้อนกันที่หัวใจของท่านแล้วตบเบาๆ จากท่าทางที่ไร้ซึ่งคำพูดนี้ คุณย่ากำลังสื่อสารกับเราถึงความสัมพันธ์ที่ค่อนข้างมีปัญหาและห่างเหินระหว่างพี่น้องว่า “ครอบครัวสำคัญ”
ในคริสตจักรซึ่งเป็นครอบครัวของพระเจ้า เราอาจห่างเหินกันได้เช่นกัน เราอาจปล่อยให้ความขมขื่นแยกเราออกจากกัน ผู้เขียนฮีบรูกล่าวถึงความขมขื่นที่ทำให้เอซาวแยกจากน้องชายของตน (ฮบ.12:16) และท้าทายพวกเราในฐานะพี่น้องให้จับมือกันไว้ในครอบครัวของพระเจ้า “จงอุตส่าห์ที่จะอยู่อย่างสงบกับคนทั้งหลาย” (ข้อ 14) ในที่นี้คำว่า จงอุตส่าห์ สื่อถึงการลงทุนด้วยความตั้งใจและแน่วแน่เพื่อสร้างสันติกับพี่น้องชายหญิงในครอบครัวของพระเจ้า ความอุตสาหะนี้จึงหมายถึงสำหรับทุกคน
ครอบครัวมีความสำคัญ ทั้งครอบครัวทางโลกและครอบครัวของผู้เชื่อในพระเจ้า เราจะอุตส่าห์ลงทุนทำทุกวิถีทางที่จำเป็นเพื่อจับมือกันไว้ได้ไหม